
ให้มือถือ คือให้ยาพิษแก่ลูกปฐมวัย โดยเฉพาะก่อน 2 ขวบ
เมื่ออินเตอร์เน็ตเข้ามามีบทบาทในการขับเคลื่อนโลก สื่อดิจิทัลดึงดูดพ่อแม่จำนวนมากเข้าไปใช้เวลาในโลกออนไลน์ จนพูดได้ว่า พ่อแม่มีชีวิต แต่ไม่ได้เลี้ยงดูลูก ยิ่งไปกว่านั้น ข้อมูลที่องค์การยูนิเซฟเปิดเผยจากการสำรวจครอบครัว 854 ครัวเรือนในจังหวัดขอนแก่นและพิษณุโลกที่มีเด็กอายุ 7-11ปี พบว่าเด็ก 60% ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ คนเลี้ยงดูหลักเป็นย่ายาย ในช่วงสถานการณ์โควิดเด็กเหล่านี้ใช้โซเชียลมีเดียเพิ่มขึ้นเกือบ 90% จากมาตรการล็อคดาวน์ ที่เด็กต้องเรียนทางออนไลน์ ส่วนเด็กที่อยู่กับพ่อแม่นั้นจะใช้เวลาอยู่กับโซเชียลมีเดียเพิ่มขึ้นประมาณ 40% และแม้ว่าพ่อแม่เกือบ 50% บอกว่ามีเวลาอยู่กับลูกมากขึ้นกว่าก่อนโควิดระบาด แต่ก็ตอบว่าไม่แน่ใจว่าเป็นเวลาที่มีคุณภาพหรือไม่
มือถือเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นและมีประโยชน์ต่อการเรียนรู้ การทำงานและการใช้ชีวิตของคนสมัยใหม่ แต่ยังไม่เหมาะสมกับเด็กปฐมวัยที่ต้องเรียนรู้สิ่งต่างๆ ตามพัฒนาการธรรมชาติ ผ่านการใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ที่ต้องสัมผัสของจริงและมีประสบการณ์จริง และช่วงวัยนี้ก็เป็นช่วงหน้าต่างแห่งโอกาสที่สมองของเด็กมีการพัฒนาสูงสุด การให้เด็กเล่นมือถือตั้งแต่อายุยังน้อยโดยเฉพาะเด็กที่อายุต่ำกว่า 2 ขวบจึงเป็นอันตรายต่อสายตา ทำให้เกิดภาวะเนือยนิ่ง (Sedentary Behavior) การใช้มือถือในเด็กปฐมวัยจะทำให้เด็กพูดช้าหรือพูดไม่เป็นภาษามนุษย์ เนื่องจากเด็กจะพูดได้ดีถูกต้องและมีคลังคำมาก ก็ต้องมาจากการโต้ตอบมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน และเด็กเล็กแยกไม่ออกระหว่างโลกจริงกับโลกเสมือนจริง
นอกจากนี้ สื่อหน้าจอส่วนมากมีเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมกับการเรียนรู้ของเด็ก ความเร็วและความดึงดูดของภาพในมือถือทำให้เด็กชินกับการถูกกระตุ้นมาก จนสมาธิสั้น ไม่จดจ่อ นำไปสู่อารมณ์ร้อน ก้าวร้าว ไปจนถึงมีพฤติกรรมคล้ายออทิสติก ไม่สนใจ ไม่เข้าใจ ไม่สื่อสารกับคน งานวิจัยในต่างประเทศชี้ว่า เด็กซึ่งรับสื่อที่เปิดทิ้งไว้ โดยที่เด็กไม่ได้ตั้งใจดู 2 ชั่วโมงต่อวัน จะมีสภาวะสมาธิสั้นสูงกว่าเด็กที่รับสื่อแบบนี้น้อยกว่าถึง 5.9 เท่า
มือถือสร้างผลเสียหายต่อสมองของเด็กอย่างไร: IQ, สมองส่วนภาษา การมองเห็นและการควบคุมความคิด
การใช้สื่อออนไลน์มากเกินไปทำให้การพัฒนาสมองไม่สมดุลเพราะเอาแต่จ้องมองมือถือ ส่งผลต่อการเรียนรู้ ทักษะการคิด และส่งผลกระทบไปถึง IQ เด็กมักจะสูญเสียความสามารถในการเรียนรู้ภาษาทางสังคม โดยเฉพาะทางด้านอวัจนะภาษา อันเป็นภาษาทางกายที่มีความสำคัญพอๆ กับคำพูดที่คนอื่นเปล่งออกมา ทำให้เข้าใจสารที่คนอื่นสื่อมาได้อย่างถูกต้องเป็นจริง
นอกจากการดูมือถือมากจะทำให้เด็กสายตาสั้น มือถือยังทำลายฮอร์โมนที่เรียกว่า “เมลาโทนิน” ซึ่งเป็นตัวฮอร์โมนที่ทำให้คนหลับได้ดีขึ้น ทำให้เด็กหลับยากมีปัญหานอนไม่พอ ส่งผลให้การเรียนตกต่ำ และทักษะสมองส่วนหน้าซึ่งทำหน้าที่กำกับควบคุมอารมณ์ ความคิดจะทำงานได้ต่ำลง สะท้อนออกมาเป็นพฤติกรรมที่ใจร้อน ก้าวร้าว งานวิจัยเกี่ยวกับทักษะสมอง EF ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบอีกด้วยว่า เด็กที่ใช้จอใสน้อย คะแนน EF จะเป็นบวก ส่วนเด็กที่ที่บ้านเปิดจอใสมาก ทักษะ EF จะเป็นลบ
วงจรติดมือถือ ติดเกม ติดพนันและยาเสพติด เป็นวงจรเดียวกัน
เทคโนโลยีดิจิทัลแข่งขันกันนำเสนอสิ่งที่ใหม่สดอยู่เสมอ เพื่อดึงดูดคนให้จดจ่ออยู่กับหน้าจอนานเท่าที่จะเป็นไปได้ คนที่ใช้มือถือไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่ หรือเด็กจึงมัก “ติด” มือถือ โดยเฉพาะเด็กที่ยังไม่สามารถยับยั้งตนเองได้ การใช้สื่อจอใสมาก จะนำไปสู่การติดเกม เพราะเกมถูกออกแบบมาตอบสนองสัญชาตญาณของมนุษย์ ทั้งความสนุก ตื่นเต้นเร้าใจ ความรุนแรง และความสำเร็จ
วงจรการเสพติด ติดยา ติดพนัน ติดเกม ในสมองทำงานคล้ายกัน สิ่งเสพติดต่างไปกระตุ้นสมองให้สร้างสารแห่งความสุข คือ โดพามีน ให้หลั่งออกมามากกว่าปกติ เมื่อโดพามีนลดลงจะมีอาการหงุดหงิด หรือซึมเศร้า กระตุ้นให้อยากเสพต่อเนื่องและเสพมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้สมองส่วนกลางหรือสมองส่วนอารมณ์ ทำงานเหนือกว่าสมองส่วนคิดไตร่ตรอง ทำให้ความสามารถในการคิดเสียไป ไม่สามารถควบคุมตนเองได้ แสดงออกเป็นพฤติกรรมที่รุนแรง ต้องพึ่งสิ่งเสพติดจึงจะมีความสุขได้
องค์การอนามัยโลก (WHO) จัดการติดเกมเป็นโรคชนิดหนึ่ง เด็กไทย 1 ใน 7 คนหรือประมาณ 2.5 ล้านคนเสี่ยงที่จะติดเกม ไม่สามารถควบคุมการเล่น ให้ความสำคัญกับการเล่นเกมมากกว่ากิจวัตรประจำวัน และยังคงเล่นหรือเล่นมากขึ้น ทั้งที่รู้ว่ามันได้ก่อให้เกิดผลเสียแก่ตน
อาการของเด็กเล็กหลังใช้มือถือต่อเนื่อง
ช่วงโควิดที่ผ่านมา พ่อแม่มีกฎการใช้หน้าจอของเด็กลดลง พ่อแม่ที่ Work From Home ระดับการศึกษาไม่สูง และพ่อแม่ที่มีความเครียดสูง มีแนวโน้มให้ลูกอยู่หน้าจอมากขึ้น เราจะพบว่าเด็กเล็กที่เสพติดมือถือจะนั่งนิ่ง ตาจ้องไปที่จอ ไม่สนใจใครหรืออะไรที่อยู่รอบข้าง เมื่อเป็นเช่นนี้นานๆ ในทางร่างกายจะกลายเป็นเด็กเนือยนิ่ง งานวิจัยยังพบว่า เด็กเล็กที่ใช้มือถือมากๆ เมื่อโตขึ้นมาเป็นโรคอ้วนถึง 30% ซึ่งเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานและหัวใจ ขณะที่เด็กบางคนเล่นมือถือเพลินจนไม่ยอมกินข้าวกินน้ำ กิน นอนไม่เป็นเวลา นอนน้อยลง นอนดึกขึ้น
ในทางอารมณ์และความคิด เด็กที่เล่นมือถือต่อเนื่องมีความเครียดที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว จากการที่จ้องมองจอนานเกินไป การได้รับข้อมูลข่าวสารอย่างท่วมท้น รวดเร็ว เป็นเวลาครั้งละนานๆ การอยู่ลำพังกับหน้าจอโดยไม่ได้ปฏิสัมพันธ์กับคนจริงๆ การตัดขาดจากพ่อแม่และคนรอบข้างเข้าไปอยู่ในโลกเสมือนจริง ฯลฯ เมื่อเวลาผ่านไปเด็กเหล่านี้มักมีอาการไม่เชื่อฟังพ่อแม่ สมาธิไม่ดี วอกแวกง่าย ทำงานไม่เสร็จ ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ วิตกกังวล มีปัญหาพฤติกรรม ใจร้อน ดื้อ ก้าวร้าว อยากรู้อยากเห็นน้อยลง เมื่อโตขึ้นพบว่าเด็กเหล่านี้มีปัญหาซึมเศร้าและจิตเวช
จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมเราจึงควรเอามือถือออกจากมือลูก
ลดเวลา “หน้าจอ” ลงให้เหลือน้อยที่สุด
กลับมาสู่การมีเวลากับ “หน้า-คน” มากที่สุด
ภาวนา อร่ามฤทธิ์ : เรียบเรียง
อ้างอิง:
1)Gaming disorder, WHO, https://www.who.int/standards/classifications/frequently-asked-questions/ สืบค้นเมื่อวันที่ 22กพ.2566
2)ธาม เชื้อสถาปนศิริ, (2564), สถานการณ์การใช้สื่อจอใสในเด็กปฐมวัย : แนวทางและนวัตกรรมในการฟื้นฟู มุมมองด้านสื่อ อินเตอร์เน็ตและนวัตกรรม, สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัย มหิดล
3)วิริยาภรณ์ อุดมระติ (2565), การพัฒนาองค์ความรู้เพื่อส่งเสริมและฟื้นฟูพัฒนาการของเด็กปฐมวัย หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019, เอกสารวิชาการ, สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา