นักวิชาการด้านการพัฒนาเด็กชี้ว่า สังคมสมัยใหม่มีภาวะขาดธรรมชาติ (NDD-Nature Deficit Disorder) มากขึ้น เมื่อเกิดสถานการณ์โควิด โรงเรียนที่ต้องปิดเกือบ 2 ปี ทำให้เด็กขาดโอกาสเล่น และกิจกรรมทางกายก็ลดลงยาวนาน ทำให้เด็กรู้สึกอยากออกไปเล่นกลางแจ้งน้อยลง เกิดพฤติกรรมที่เรียกว่า “รากงอก” คือไม่ชอบเคลื่อนไหว ไม่ชอบออกแรง ชอบนั่งๆ นอนๆ เล่นเกม ดูมือถือ เด็กส่วนใหญ่ทุกวันนี้จึงกลายเป็น Indoor Generation คือเด็กรุ่นที่ไม่เล่นกลางแจ้ง ออกกำลังกายน้อย ซึ่งก็จะส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว เสี่ยงต่อการเป็นโรคหลายอย่างในอนาคต เช่น ความดันโลหิตสูง หลอดเลือดหัวใจ เบาหวาน โรคอ้วน เป็นต้น

ช่วง 2 ปีของโควิคยังทำให้เด็กเครียดมากขึ้น จากการที่อุดอู้อยู่กับบ้าน ไม่ได้ไปโรงเรียน ไม่ได้เล่นกับเพื่อน ความเครียดที่สั่งสมยาวนานจะส่งผลกระทบต่อโครงสร้างของสมอง ทำให้วิตกกังวล ตื่นกลัวง่าย 

ดังนั้น เพื่อฟื้นคืนความเป็นปกติสุขแก่เด็ก หนึ่งวิธีที่ง่ายและได้ผลดีที่สุดคือให้เด็กเล่นให้มากพอ

การเล่นนั้นให้ความสุข

การเล่นโดยเฉพาะที่ได้ออกแรงมากพอ เป็นธรรมชาติของสัตว์ทุกชนิด ที่เรียนรู้สิ่งต่างๆผ่านการเล่นในวัยเด็ก เวลาที่เด็กเล่นจนเพลิน เป็นสภาวะที่ร่างกายและจิตใจของเด็ก จดจ่อจนเหมือนเวลาจะหยุดนิ่ง เป็นสภาวะที่เราเรียกว่า “ไหลลื่น” ซึ่งจะนำมาซึ่งความสุขความรื่นรมย์ พ่อแม่จึงควรชวนเด็กเล่นและให้เลือกเล่นตามความชอบ เพื่อเพลิดเพลินและมีความสุขในการเล่น

การเล่นช่วยส่งเสริมทักษะสมองทุกด้าน

แท้ที่จริงการเล่นคือการทำงานของเด็ก ทำให้เด็กได้ใช้ประสาทสัมผัสทุกส่วน ได้ฝึกความจำ จำกติกา รูปแบบการเล่น ได้ฝึกกำกับตนเอง มากบ้างน้อยบ้างไปตามสถานการณ์และรูปแบบการเล่น ได้ฝึกหยุดยั้ง ปรับเปลี่ยนวิธีเล่น จดจ่อตั้งใจเพื่อเอาชนะ ได้ควบคุมอารมณ์ ริเริ่มลองทำสิ่งใหม่ๆ รวมถึงการวางแผนเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย

ปัจจุบันพ่อแม่มักจะกลัวเด็กเบื่อไม่มีอะไรทำ จึงยอมให้ลูกใช้สื่อดิจิทัล ซึ่งถ้ามากเกินไป จะส่งผลร้ายตามมา หากเด็กเบื่อ พ่อแม่ลองปล่อยให้เด็กหาอะไรเล่นเอง แบบที่เรียกว่าเล่นอิสระ หรือ Free Play ซึ่งเด็กจะริเริ่มสร้างสรรค์การเล่นด้วยตนเองได้ อาจพลิกแพลงจากวัสดุหรือสิ่งที่มีอยู่ในบ้าน ซึ่งทุกการเล่นอิสระ ก็ล้วนเป็นเรื่องสนุกของเขาทั้งสิ้น

การเล่นช่วยสร้างสังคมให้เด็ก

ในช่วงโควิดระบาด เด็กเล็กต้องใส่แมสก์ ไม่อาจเห็นใบหน้าและรูปปากของคนอื่น ทำให้คาดเดาอารมณ์ผู้ที่พูดด้วยไม่ได้ อาจส่งผลเป็นความไม่มั่นใจ และอาจมีพัฒนาการถดถอย เล่นกับเพื่อนไม่เป็น ขาดการเข้ากลุ่ม

การให้เด็กได้เล่นด้วยกันมากๆ และการออกกำลังกายด้วยกัน จะช่วยแก้ปัญหาและส่งเสริมพัฒนาการทางอารมณ์ได้ดี เพราะในการเล่นเด็กต้องคุยกัน โกรธกัน ดีกัน การเล่นยังสร้างสียงหัวเราะร่วมกัน เกิดความรู้สึกเป็นกลุ่มเป็นก้อน เป็นการเริ่มต้นทักษะทางสังคมที่จะเกาะเกี่ยวกัน กลายเป็นสังคมที่มีสายใยความผูกพันกันต่อไป

พ่อแม่พึงตระหนักว่า การเล่นคือการเรียนรู้

ศาสตราจารย์ นพ.วีระศักดิ์ ชลไชยะ แห่งภาควิชากุมารเวชศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เปิดเผยว่า เด็กที่ใช้สื่อดิจิทัลก่อนวัยอันควร มีแนวโน้มสติปัญญาลดลง มีพฤติกรรมก้าวร้าวมากขึ้น และพัฒนาการทางด้านภาษาช้าลง นอกจากนี้ การดูโทรทัศน์และการเล่นมือถือทำให้เด็กและพ่อแม่พูดจาสื่อสารกันน้อยลง มีรายงานว่าทุก 30 นาทีที่ใช้เวลากับมือถือ มีความเสี่ยงที่เด็กจะพูดช้าลง 2.3 เท่า

 การเล่นเป็นการเรียนรู้จากรูปธรรม ทุกครั้งที่ร่างกายเคลื่อนไหว ใช้มือเล่น ทำโน่นทำนี่ สมองได้สนุกกับการแก้ปัญหา ไม่ว่าเล่นดนตรี กีฬา ทำงานศิลปะ จะทำให้วงจรประสาทของเด็กเกิดการเชื่อมต่อกัน นอกจากช่วยให้เด็กเข้าใจในสิ่งที่เล่นมากขึ้น เกิดความคิด เกิดปัญญา มีการเรียนรู้และมีทักษะมากขึ้น การเล่นยังทำให้เด็กๆสะสมความสำเร็จ มีความมั่นใจในตนเอง เด็กที่ได้เล่นมากจะเชื่อ “ฝีมือ” ตนเอง ว่าทำอะไรได้แค่ไหน  

โปรดระลึกเสมอว่า การให้เด็กได้เล่นอย่างเต็มที่และพอเพียงในทุกวัน หลังภาวะโควิด จะทำให้รอยยิ้มและความมีชีวิตชีวาของเด็กกลับคืน พร้อมๆ กับพัฒนาการทุกด้านฟื้นคืนมาด้วย